วันอาทิตย์ที่ 29 มีนาคม พ.ศ. 2552

อาชีพเสริม สอนทำดอกไม่จันทน์ ลงทุนน้อย รายได้ดีมาก

ดอกไม้จันทน์

ดอกไม้จันทน์ มีความหมายตามพจนานุกรมว่า เนื้อไม้จันทน์เป็นต้น ที่ใสเป็นแถบบางนำมาประดิษฐ์ เป็นช่อขนาดเล็กใช้ในการเผาศพ

การเผาศพส่วนใหญ่จะนำดอกไม้ ธูป เทียน มาวางไว้ใต้เชิงตะกอนศพเพื่อเป็นการขอขมาศพ สมัยก่อนใช้ท่อนจันทน์ ท่อนจันทน์เป็นของราคา การใช้ท่อนจันทน์เผาศพล้วนๆ ส่วนใหญ่เป็นคนมีฐานะใช้กัน แต่สำหรับชาวบ้านทั่วไปจะใช้ท่อนจันทน์ 2-3 ท่อน เท่านั้น ภายหลังใด้คิดประดิษฐ์เอาไม้จันทน์มาทำเป็นดอกไม้ เพื่อเป็นการประหยัด ทั้งนี้เนื่องจากไม้จันทน์เป็นของหายาก และเพื่อให้ทันกับยุคสมัยที่เปลี่ยนไปจึงได้มีคิดประดิษฐ์ดอกไม้จันทน์ ในรูปแบบใหม่ โดยนำวัสดุต่างๆ ที่หาได้ง่ายและสะดวกมาประดิษฐ์แทน

การวางดอกไม้จันทน์ เมื่อชักผ้ามหาบังสุกุลเสร็จ เจ้าภาพจะนำดอกไม้จันทน์มากแจกให้กับผู้มาร่วมงาน คนละ 1 ช่อ หรือนำใส่พาน วางไว้หน้าเมรุ เมื่อได้เวลาเผา พระก็จะสวดอภิธรรม ผู้มาร่วมงาน ก็ทยอยขึ้นบรรไดเมรุ นำช่อดอกไม้จันทน์ไปวางไว้ในพานหน้าศพ

แสงธรรมดอกไม้จันทน์เป็นผู้ผลิตดอกไม่จันทน์ ขายปลีก และส่ง กำลังขยายงาน เนื่องจากมีการสั่งซื้อเข้ามามากมาย แต่ไม่อาจจัดตาม order ได้ครบถ้วน จึงคิดว่าตลาดดอกไม้จันทน์นี้ยังกว้างมาก หากสอนให้คนที่ต้องการมีรายได้พิเศษนอกเวลางาน ได้ทำเป็นรายได้เสริม ก็น่าจะดี บวกกับอาจมีคนช่วยทำ เพราะเมื่อทำเป็นแล้วก็จะรับซื้อด้วย
ผู้ที่สนใจจะเรียนทำดอกไม้จันทน์ สามารถติดต่อนัดเวลาเรียนได้ รับจำนวนจำกัด (1 คอร์ส ไม่เกิน 2 คน) ทำเป็นแล้วยินดีรับซื้อ แต่หากจะหาตลาดขายเอง ก็ไม่ขัดข้อง และจะได้กำไรมากกว่าด้วย เพราะไม่ต้องผ่านตัวกลาง
สนใจคุยรายละเอียดที่ 07-9252682 นัท

*** รายละเอียดการเรียนคร่าว ๆ

- เปิดสอนในวัน เสาร์ บ่าย 3 โมงครึ่ง
วันอาทิตย์หรือวันหยุดมี 3 รอบ คือ
9.00 –12.00, 12.30 –15.00, 15.00-18.00
- ค่าเรียน 400 บาท อุปกรณ์การเรียนฟรี
- สอนทำ 2 แบบ คือ พุ่มเชิญและดอกเดี่ยว
พุ่มเชิญมี 9 ดอก ต้นทุน 5 บาท รับซื้อราคา 10 บาท (ถ้าหาตลาดเองก็จะได้ราคาดี ประมาณ 15-30 บาท)
ดอกเดี่ยว ต้นทุน ร้อยละ 40 บาท รับซื้อร้อยละ 70 บาท (ถ้าหาตลาดเองจะขายได้ประมาณ ร้อยละ 80-140 บาท แล้วแต่ต่อรอง)
***สำหรับผู้ที่อยู่ในเขต กทม. ทางร้านจะหาตลาดแถวบ้านท่านไว้ให้ขายเองโดยตรง***

วันพุธที่ 18 มีนาคม พ.ศ. 2552

โครงการใหม่ ต้นกล้าอาชีพ ฟรี สำหรับผู้ว่างงาน


เปิดตัว ต้นกล้าอาชีพ ฝึกแรงงาน 7 กลุ่ม (มติชน)

เมื่อวันที่ 16 มีนาคม ที่ทำเนียบรัฐบาล นายกอร์ปศักดิ์ สภาวสุ รองนายกรัฐมนตรี ในฐานประธานกรรมการบริหารโครงการเพิ่มศักยภาพผู้ว่างงาน เพื่อสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจและสังคมในชุมชน หรือโครงการ "ต้นกล้าอาชีพ" แถลงว่า โครงการตั้งเป้าหมายฝึกอบรมผู้ว่างงานให้ได้ 5 แสนคน แบ่งออกเป็น 2 ระยะ คือ ระยะแรกภายในปี 2552 ตั้งเป้าฝึก 2.4 แสนคน ระยะ 2 จะเริ่มปี 2553 ฝึก 2.6 แสนคน โดยกลุ่มเป้าหมายมี 4 กลุ่ม คือ กลุ่มผู้ว่างงาน, กลุ่มถูกเลิกจ้าง, แรงงานที่อยู่ในข่ายจะถูกเลิกจ้าง และบัณฑิตจบใหม่

"นอกเหนือจากหลักสูตรที่เตรียมไว้แล้ว ภาครัฐจะพยายามมองหาการจ้างงานของหน่วยราชการ อาทิ การเก็บข้อมูลของสำนักสถิติแห่งชาติ การตรวจสอบการดำเนินงานโครงการต่างๆ ของรัฐบาล เช่น โครงการนมโรงเรียนที่อาจว่าจ้างบัณฑิตใหม่ไปตรวจสอบคุณภาพนมในพื้นที่ ทั้งนี้ รัฐบาลไม่สามารถรับประกันได้ว่า คนที่ฝึกอบรมไปแล้วจะมีงานทำทั้งหมดหรือไม่ แต่เราจะพยายามทำให้ได้มากที่สุด" นายกอร์ปศักดิ์ กล่าว

ขณะที่ นายกนก วงษ์ตระหง่าน ที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี ในฐานะรองประธานกรรมการบริหารโครงการ กล่าวว่า ได้เตรียมอบรม 7 กลุ่มอาชีพ จำนวน 935 หลักสูตรเพื่อเปิดให้เลือกฝึกอบรมได้ตามความสนใจ ผู้ที่สนใจจะต้องใช้บัตรประชาชนเป็นหลักฐานการลงทะเบียน สมัครทางเว็บไซต์ www.tonkla-archeep.com ตั้งแต่วันที่ 18-24 มีนาคมนี้ หรือสมัครด้วยตนเอง ณ ศูนย์แสดงสินค้าอิมแพค ฮอลล์ 3 เมืองทองธานี ในวันที่ 22 มีนาคม ตั้งแต่เวลา 10.00-21.30 น. ส่วนผู้ที่อยู่ต่างจังหวัดสามารถลงทะเบียนสมัครได้ที่สถานที่ฝึกอบรมและสำนักงานจัดหางานจังหวัดทั่วประเทศ หรือ สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ ศูนย์ปฏิบัติการโครงการ "ต้นกล้าอาชีพ" Call Center : 1111 หรือ www.tonkla-archeep.com

โดยใช้เวลาฝึกอบรมไม่เกิน 1 เดือน ทั้งนี้ รัฐบาลจะสนับสนุนค่าใช้จ่าย 5 พันบาทต่อคนต่อเดือน ค่าเบี้ยเลี้ยง 4.8 พันบาทต่อคนต่อเดือน ค่าพาหนะระหว่างอบรม 720 บาทต่อคน หากอยู่ต่างจังหวัดจะจ่ายค่าเดินทางเหมาจ่ายคนละ 3 พันบาท และหากผู้ฝึกอบรมตั้งเป้าหมายว่า ฝึกอาชีพเสร็จจะเดินทางกลับไปประกอบอาชีพในภูมิลำเนา จะได้เงินช่วยเหลือ 3 เดือน เดือนละ 4.8 พันบาท

สำหรับรายละเอียดโครงการ "ต้นกล้าอาชีพ" โครงการฝึกอบรมแรงงานเพื่อป้องกันปัญหาการว่างงานที่ได้รับผลกระทบจากวิกฤตสถาบันการเงินของโลก ที่จัดทำขึ้นโดยคณะกรรมการบริหารโครงการเพิ่มศัยภาพผู้ว่างงานเพื่อสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจและสังคมในชุมชน โดย 7 หลักสูตรการฝึกอบรมโครงการ "ต้นกล้าอาชีพ" มีดังนี้...


1. การเกษตรและการแปรรูปจำนวน 118 หลักสูตร ได้แก่

กลุ่มการผลิต เช่น การผลิตไม้ดอกเพื่อการค้า การผลิตปุ๋ยอินทรีย์ การผลิตไก่อินทรีย์

กลุ่มแปรรูป เช่น การแปรรูปปลานิลแดดเดียว การแปรรูปทำไส้กรอกจากปลาดุก

กลุ่มเศรษฐกิจพอเพียง เช่น การเกษตรแบบยั่งยืน การเกษตรผสมผสานตามแนวทางเกษตรทฤษฎีใหม่และแนวทางเศรษฐกิจพอเพียง

การฝึกอบรมเกษตรทางเลือก ภายใต้เศรษฐกิจพอเพียง

2. ภาคการผลิต จำนวน 319 หลักสูตร ได้แก่

กลุ่มไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ เช่น ช่างไฟฟ้าอุตสาหกรรม ช่างเชื่อมโลหะด้วยไฟฟ้าและแก๊ส ช่างเชื่อมเหล็กดัด ประตู หน้าต่าง ช่างเดินสายไฟฟ้าภายในอาคาร ช่างเดินสายและติดตั้งอุปกรณ์ไฟฟ้า

กลุ่มเสื้อผ้า สิ่งทอ เช่น การทำซิลค์สกรีน การทำผ้ามัดย้อมและมัดเพนท์ การทำผ้าด้วยกี่กระตุก การทำผ้าบาติค

กลุ่มเครื่องยนต์ เช่น การซ่อมรถจักรยานยนต์และเครื่องยนต์ ช่างเครื่องยนต์ชุมชนช่างเคาะตัวถังรถยนต์

กลุ่มศิลปะประดิษฐ์และอัญมณี เช่น การแกะสลักวัสดุอ่อนเบื้องต้น การขึ้นรูปกระถางต้นไม้ด้วยแป้นหมุน การทำของชำร่วยด้วยเซรามิค การออกแบบเครื่องโลหะและรูปภัณฑ์อัญมณี

3. การบริการและการท่องเที่ยว จำนวน 298 หลักสูตรได้แก่

กลุ่มท่องเที่ยว ได้แก่ การอบรมมัคคุเทศก์ พนักงานบริการอาหารและเครื่องดื่ม พนักงานผสมเครื่องดื่ม การทำอาหารว่างนานาชาติ การฝึกอบรมภาษา และธุรกิจโฮมสเตย์

กลุ่มสุขภาพ ได้แก่ การนวดแผนไทย นวดลูกประคบ สปาการดูแลเด็กและผู้สูงอายุ

กลุ่มการซ่อมแซม และบำรุงรักษา การซ่อมเครื่องปรับอากาศรถยนต์ การซ่อมเครื่องยนต์ดีเซล การซ่อมเครื่องยนต์เบนซิน การซ่อมเครื่องยนต์เล็กเพื่อการเกษตรการซ่อมจักรอุตสาหกรรม

4. การค้าและเศรษฐกิจพอเพียง จำนวน 12 หลักสูตร ได้แก่

กลุ่มพัฒนาผลิตภัณฑ์ การออกแบบและพัฒนาบรรจุภัณฑ์เพื่อชุมชน การพัฒนาผลิตภัณฑ์เพื่อชุมชน การพัฒนาและออกแบบผลิตภัณฑ์

การขายสินค้าทางอินเตอร์เน็ต (e-Commerce) การสร้างร้านค้าทางอินเตอร์เน็ต

กลุ่มผู้ประกอบการ เช่น การประกอบการธุรกิจชุมชน ร้านค้าปลีกกลุ่มแม่บ้านและวิสาหกิจชุมชน

5. คอมพิวเตอร์และธุรการ จำนวน 117 หลักสูตร ได้แก่

Software

กลุ่มออกแบบ เช่น โปรแกรม AUTO CAD เพื่องานออกแบบก่อสร้าง ออกแบบชิ้นส่วนอุตสาหกรรม เขียนแบบเครื่องกลด้วยโปรแกรมคอมพิวเตอร์ Solid Work

กลุ่มงานในสำนักงาน เช่น Office and Multimedia การจัดทำระบบข้อมูลทางการเงินและบัญชีด้วยโปรแกรม Excel และโปรแกรมบัญชีสำเร็จรูปเพื่อใช้ในการทำงานทางธุรกิจ

การใช้คอมพิวเตอร์ในสำนักงานด้วยโปรแกรม Microsoft Office

การพัฒนาโปรแกรมด้วย MS Access โดยใช้ระบบงานบุคคล

การใช้เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร สำหรับการประกอบธุรกิจบนอินเตอร์เน็ต

Hardware

ช่างคอมพิวเตอร์ เช่น ซ่อม ประกอบ ติดตั้งระบบบำรุงรักษาคอมพิวเตอร์และเครือข่าย

6. คมนาคมและการขนส่ง จำนวน 1 หลักสูตร

วิชาชีพด้าน Logistics หรือการขนส่งสินค้าทางอากาศและทางเรือ

7. การก่อสร้าง จำนวน 23 หลักสูตร

กลุ่มช่างต่างๆ เช่น การปูกระเบื้อง ช่างไม้ก่อสร้าง ช่างสีอาคาร

กลุ่มการผลิตวัสดุก่อสร้าง เช่น การทำบล็อคคอนกรีต การผลิตซีเมนต์

คุณสมบัติของผู้สมัคร

1. เป็นผู้ที่มีสัญชาติไทย

2. มีอายุ 18-60 ปี นับถึงวันสมัครฝึกอบรม

3. เป็นผู้ว่างงานตามรายละเอียดของโครงการ ดังนี้

- ผู้ว่างงานที่สนใจฝึกอบรมอาชีพ รวมทั้งประชาชนที่สนใจเข้ารับการอบรมปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง เพื่อนำความรู้กลับไปใช้ในการชุมชนบ้านเกิด

- ผู้ถูกเลิกจ้างแรงงานจากภาคอุตสาหกรรมและประสงค์จะเพิ่มทักษะมากขึ้นและหลากหลาย เพื่อพัฒนาและยกระดับมาตรฐานฝีมือแรงงานของตนเอง

- ผู้สำเร็จการศึกษา ให้มีความพร้อมในการเข้าสู่ตลาดแรงงานอย่างมีคุณภาพ

ภาพนมหก เห็นชัดไหมจ๊ะ

อยากให้อารมณ์ดี ตลอดปีครับ


สุขสันต์ วันสงกรานต์ นะครับ



5 งาน - อาชีพเสริม สุดฮิต ช่วงปิดเทอม

1. พนักงานร้านฟาสต์ฟู้ด

จากที่เคยเดินไปสั่งซื้อพิซซ่า ซื้อแฮมเบอร์เกอร์ ดื่มไอซ์ที แล้วนั่งเม้าท์กับเพื่อนฝูงเป็นชั่วโมง ปิดเทอมนี้ลองเปลี่ยนไปรับออเดอร์บ้างเป็นไง นอกจากไม่ต้องจ่ายเงินแล้ว ยังได้เงินค่าจ้างรายวันกลับมาด้วย แถมบางทีให้หม่ำมือกลางวันฟรีอีกต่างหาก

เท่าที่ทราบ ไม่ว่าจะเป็น แมคโดนัลด์ เคเอฟซี เชสเตอร์กริลล์ ฯลฯ ต่างอ้าแขนรับลูกค้าวัยโจ๋ให้มาทำงานพิเศษเป็นพนักงาน Part-time ช่วงปิดเทอมอยู่แล้ว จ็อบนี้จึงดูเข้ากับไลฟ์สไตล์ของเด็กเซ็นเตอร์พ้อยท์เป็นที่สุด เรียกว่าสมัครงานปุ๊บ ต่อให้ไม่มีพี่เลี้ยง ก็สามารถเริ่มงานได้เลย ว่างั้นเถอะ

2. พนักงานบริการ เด็กเสริฟ

ตำแหน่งเด็กเสริฟ ฟังแล้วไม่เท่ แต่เอาเข้าจริงๆ นี่เป็นจ็อบที่มีคะแนนโหวตสูงสุดตลอดกาลในหมู่นักเรียนนักศึกษาเลยก็ว่าได้ เพราะเป็นงานที่เข้าง่าย-ออกง่าย ไหนๆ ลูกจ้างตัวจริงก็อยู่ไม่ค่อยทน เจ้าของร้านส่วนใหญ่จึงเทใจให้กับเด็ก Part-time ซะเลย นอกจากจะได้เด็กมาช่วยงานร้านในอัตราค่าจ้างไม่สูงเหมือนลูกจ้างประจำแล้ว ใครรู้ใครเห็นก็อาจจะพลอยชื่นชมว่าร้านนี้ใจดี ให้โอกาสเด็กๆ ได้ใช้เวลาว่างให้เป็นประโยชน์อีกต่างหาก

ที่แน่ๆ ลูกค้ารุ่นพี่ป้าน้าอา มักจะใจอ่อนเวลาเห็นเด็กเสิร์ฟในเครื่องแบบนักเรียนนักศึกษา จากที่ไม่เคยทิปก็อาจจะควักกระเป๋าให้ง่ายๆ หรือที่เคยแจกทิปอยู่แล้วก็อาจจะโปะเพิ่มให้อีก ขอแค่อย่าซุ่มซ่ามไปทำจานแตกหรือเดินชนโต๊ะจนแก้วน้ำกระเด็นใส่หัวลูกค้า เป็นใช้ได้

3. พนักงานห้างทั่วไป

ชอบเดินห้างนักใช่ไหม ปิดเทอมนี้เลือกเลยจ๊ะว่าอยากไปอยู่ห้างไหน สาขาไหน จะเอ็มโพเรียม พารากอน เซ็นทรัล เดอะมอลล์ หรือโรบินสัน แทบทุกแห่งมีนโยบาย สนับสนุนให้นักเรียนนักศึกษาทำงานพิเศษในช่วงปิดเทอมอยู่แล้ว เพียงแต่ว่าจะหมุนเวียนไปยังแผนกอะไร เพราะมีตั้งแต่เดินบิล ห่อของขวัญ นั่งเคาร์เตอร์ ฯลฯ

จากที่เคยโฉบไปห้างนั้น 3 ชั่วโมง ห้างนี้ 4 ชั่วโมง คราวนี้แหละได้เวลาปักหลักอยู่ห้างเดียวเป็นวันๆ แถมอาจมีเวลาชะแว้บไปช้อปได้แค่ช่วงพัก ถ้าสมัครใจ จ็อบนี้ก็ดูแสนสบายเพราะได้อยู่ในห้างแช่แอร์ทั้งวัน แต่ถ้ากลัวต่อมช็อปปิ้งระเบิด ขอแนะนำให้ถามใจตัวเองดีๆ อีกทีจ๊ะ

4. แจกใบปลิว

เดี๋ยวนี้ผลิตภัณฑ์ต่างๆ นิยมทำการตลาดแบบเข้าถึงตัวลูกค้า เดินไปทางไหนก็มักจะมีคนยื่นแผ่นกระดาษใส่มือให้ตลอด หยิบขึ้นมาดูมีตั้งแต่ใบปลิวขายขนม โฆษณาโรงเรียนสอนภาษา โปรชัวร์ธนาคาร ตารางมิดไนท์เซลส์ เต็นท์รถ เรื่อยไปถึงแคตตาล็อกคอนโดมิเนียม

ถ้าไม่หวั่นในวัน(มีใบปลิว)มามาก จ็อบนี้เหมาะกับคนชอบอยู่ไม่สุข(แจกใบปลิวมือเป็นระวิง) เหมาะกับใครที่ชอบพบปะผู้คน(เผชิญหน้ากับคนมากมาย) เหมาะกับคนที่มีเวลาไม่แน่นอน(แจกใบปลิวจนกว่าจะหมด)

อ้อ จ็อบนี้อาจรวมถึงแจกสินค้าตัวอย่างหรือแจกแบบสอบถามด้วย ค่าจ่างมักจะเหมารวม ถ้าแจกใบปลิวก็คิดเป็นล็อต ถ้าแจกแบบสอบถามก็จ่ายตามจำนวนชุดที่ส่งคืนจ๊ะ

5. Indy In Town

แล้วก็มาถึงสุดยอดจ็อบที่เป็น Talk of the town ของชาวเซ็นเตอร์พ้อยท์ จะอะไรอีกถ้าไม่ใช่การชุมนุมยอดฝีมือชาวอินดี้ จะเปิดเทอมหรือปิดเทอม เหล่าอินดี้ก็พร้อมอวดผลงาน สะสมเงินค่าหน่วยกิตกันได้คนละไม่รู้กี่เทอมแล้ว

เพียงแต่ช่วงปิดเทอมอาจมีเวลาสร้างสรรค์ชิ้นงานได้เนี้ยบกว่าเก่า เก๋ากว่าเดิมเพิ่มปริมาณ ส่วนจะเพิ่มราคาหรือเปล่า อันนี้ชาวอินดี้ต้องตอบเองจ๊ะ

ส่วน ใครจะร้อยสร้อย ออกแบบเสื้อยืด เพ้นท์เล็บ เย็บกระเป๋าผ้า หรือแม้แต่เล่นดนตรีเปิดหมวก ก็ขึ้นอยู่กับ พรสวรรค์ ในการค้นหาความสามารถความถนัด และความชอบของตัวเอง แต่อย่าลืมให้ความสำคัญกับ พรแสวงด้วย ทั้งแสวงหาความคิดสร้างสรรค์ใหม่ๆ และแสวงหาพื้นที่ดีๆ ที่เหมาะจะอวดผลงานของตัวเอง

ที่มา http://variety.teenee.com/foodforbrain/7288.html

วันพุธที่ 11 มีนาคม พ.ศ. 2552

บันได 7ขั้นสู่การเป็นเศรษฐี


จากการเหน็ดเหนื่อยกับการทำงานมาตลอดทั้งปี ถึงเวลาหาความสุขให้ตัวเองบ้าง ไปทุกที่ที่อยากเที่ยว ซื้อทุกอย่างที่ต้องการ รวมถึงกินทุกสิ่งที่ใจอยาก ผลที่ตามมาจะคุ้มกับทุนที่เสียไปหรือเปล่าไม่รู้ แต่อย่าห่วงเลย ถ้าสิ่งนั้น ไม่ทำให้คนอื่นเดือดร้อน และนำมาซึ่งความสุขให้ร่างกาย และจิตใจของคุณ เพราะ เงิน จะไม่ใช่เรื่องใหญ่อีกต่อไป

บันไดขั้นที่ 1 เรื่องง่าย ๆ

การเริ่มเป็นเศรษฐี ขั้นแรกคุณต้องเชื่อมั่นก่อนว่าไม่ใช่เรื่องยากเกินไป การเป็นเศรษฐีไม่ได้หมายถึงการเป็นคนร่ำรวย แต่ทรัพย์สินเท่านั้น รวมถึงการมีสุขภาพจิต สุขภาพร่างกายที่ดีด้วย ดังนั้น มองโลกแง่บวกไว้ว่า เงินทองที่มีแม้ไม่ได้ มากมาย แต่ก็นับว่า คุณเองเป็นเศรษฐีแล้ว เพราะในอนาคต เมื่อตั้งใจทำงานทรัพย์สินที่มีก็ย่อมทวีคูณขึ้นไปเรื่อย ๆ

บันไดขั้นที่ 2 หาหนทาง
เป็นเศรษฐีที่ดีต้องรู้จักฝึกเป็นคนช่างสังเกตอยู่ตลอดเวลา ขั้นต่อมา คุณจึงควรรู้จักหาหนทางใหม่ ๆ ในการสร้างรายได้ เริ่มด้วยการ จับทิศทางตลาดใกล้ตัวว่าอะไรกำลังมา ลงทุนไม่ต้องสูงมาก หรือทำงานพิเศษรับโอที ขยันเพิ่มขึ้นหน่อย เพื่อรายได้ ที่มากขึ้น และอนาคตที่ดีในวันหน้า

บันไดขั้นที่ 3 อย่ากลัวการต่อรอง
ข้อปฏิบัติของคนอยากรวย คือต้องอย่ากลัวการต่อรอง จากผลการวิจัยของสหรัฐอเมริกาพบว่า คนที่กล้าเจรจาต่อรอง เรื่องเงินเดือนกับบริษัทในตอนแรก มักจะเป็นผู้ได้รับเงินเดือนสูง และเพิ่มมากกว่าผู้ที่ไม่กล้าต่อรองถึง 7.4 เปอร์เซ็นต์ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ต้องมีวิธีการพูดที่อ่อนน้อม ไม่ก้าวร้าวและดูรุณแรงเกินไป

บันไดขั้นที่ 4 นักวางแผน
เป็นเศรษฐีต้องมีคุณสมบัติ ของการเป็นนักวางแผนที่ดีด้วยอีกประการ ดังนั้นคุณต้องขยันหาข้อมูล โดยเฉพาะ เรื่องรายได้ ลองเปรียบเทียบว่าเงินเดือนที่ตัวเองได้นั้น เมื่อเทียบกับตำแหน่งหน้าที่การงานแล้ว ถือว่าอยู่ในเกณฑ์มาตรฐาน หรือเปล่า ซึ่งดูได้จากประกันสังคม หรือเทียบคร่าวๆ จากเว็บไซต์http://www.salary.com

บันไดขั้นที่ 5 ถูกที่ถูกเวลา
อย่าคิดว่าเป็นเรื่องไม่สำคัญ หรือเพียงแค่คิดว่าคุณเชี่ยวชาญกับงานที่ทำดีอยู่แล้ว เพราะถึงอย่างไร คุณควรศึกษาวิธีการทำงาน อยู่อย่างสม่ำเสมอ อ่านแผนงาน พร้อมวางกลยุทธ์ และนำมาใช้ให้ถูกที่ถูกเวลา ให้สมกับภาษิตที่ว่ากันไว้ "งานดีเงินเดิน" แล้วหลังจากนี้ คำว่าเศรษฐีคงไม่ไกลเกินเอื้อมแน่นอน

บันไดขั้นที่ 6 กล้าลงทุน
ท้ายสุด ต่อเนื่องจากขั้นที่แล้ว เมื่อตัดสินใจได้ว่าจะลงทุน จับกิจการทางด้านไหน หรือลงใจทำงานอยู่ในธุรกิจใด ก็ควรตั้งใจทำเต็มที่ เพราะว่าภาวะเศรษฐกิจ ในปัจจุบันมีความไม่แน่นอน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องไหนในชีวิตจึงควรมีแผนเอ แผนบี เตรียมพร้อมรองรับไว้เสมอ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องเงินทอง อย่าคิดแต่ว่าวันนี้มีงานประจำทำจะมั่นคงแล้ว เนื่องจาก ถ้าหากเกิดปัญหาขึ้นมากะทันหัน คุณก็ยังมีทางออก และมีรายได้เลี้ยงตัวเองอยู่ ดังนั้นกล้าลงทุน และบริหารงานด้วยความรู้ ความตั้งใจ อนาคต เศรษฐีคนใหม่ รอคุณอยู่ไม่ยากเลย

บันไดขั้นที่ 7 อย่าลังเล

ไตร่ตรอง ตัดสินใจ และลงมือปฏิบัติก่อนใครย่อมได้เปรียบ ฉะนั้นถ้าคุณเริ่มหารายได้ เก็บออมตั้งแต่วันนี้ อีก 5-10 ปีคุณก็จะมีเงินเก็บที่ไม่น้อยทีเดียว อย่าลังเลว่าตอนนี้คุณยังเด็กเกินไปที่จะลงทุนกิจการอะไรสักอย่าง เพราะถ้าคุณผัดวัน ไปเรื่อย ๆ แล้วเริ่มลงทุนเมื่ออายุเข้าสู่เลข 6 นำหน้า ตอนนั้นก็คงช้าไปแล้ว อย่างที่มีคำกล่าวจากอาจารย์ ศิลป์ พีระศรี ว่า "พรุ่งนี้ก็สายเสียแล้ว" ฉะนั้นอย่ารออะไรอีกเลยนะ รีบปฏิบัติทันที ตั้งแต่เวลานี้เดี๋ยวนี้เป็นต้นไป


ที่มาของบทความ http://brightlives.th.88db.com/business/business_millionaire.htm

วันเสาร์ที่ 7 มีนาคม พ.ศ. 2552

‘ตุ๊กตาไม้โยโย่-ล้มลุก’ ทำของเล่นเป็นธุรกิจ

“ตุ๊กตา” ยุคไหน ๆ ก็ยังเป็นของเล่นยอดนิยมของเด็ก ๆ ทั่วไป และก็ได้มีการคิดทำตุ๊กตารูปแบบใหม่ ๆ ออกมาอย่างต่อเนื่อง รวมถึงกับตุ๊กตาแปลก ๆ แหวกแนว ด้วยรูปทรงรูปร่าง และสามารถเด้งดึ๋งดุ๊กดิ๊กไปมาได้ ซึ่งเรียกว่า “ตุ๊กตาไม้โยโย่-ตุ๊กตาล้มลุก” และทีม “ช่องทางทำกิน” ก็มีข้อมูลมานำเสนอให้พิจารณากัน...

ตุ๊กตาไม้โยโย่ และตุ๊กตาล้มลุก ของฉัตรธิดานำเข้ามาจากประเทศจีน โดยออกแบบไปให้ทางจีนทำตามที่สั่ง ซึ่งจีนจะมีวัสดุ เครื่องไม้เครื่องมือ และเทคโนโลยีที่ทันสมัย ค่าแรงก็ไม่แพงมาก ทำให้ต้นทุนในการผลิตไม่สูง ส่วนไม้ที่นำมาทำก็จะใช้ไม้สนของประเทศจีน

ส่วนไม้สนของไทยจะแน่น มีน้ำหนักมากกว่ฉัตรธิดา เพียรดี เป็นเจ้าของผลงานตุ๊กตาไม้ “ฉัตร ดีไซน์” ดำเนินธุรกิจนี้มากว่า 2 ปีแล้ว ก่อนหน้านี้ฉัตรธิดาทำธุรกิจค้าไม้ ขายเฟอร์นิเจอร์ตกแต่งบ้าน แต่หลัง ๆ เศรษฐกิจไม่ค่อยดี ธุรกิจที่ทำอยู่เริ่มจะไม่ราบรื่น จึงวางมือ และหันมาจับธุรกิจนำเข้า “ตุ๊กตาไม้” แทน ซึ่งเจ้าตัวบอกว่าตุ๊กตาไม้นี้ไม่ใช่เป็นแค่ของเล่นอย่างเดียว ตกแต่งบ้านก็ได้ และราคาก็ไม่แพง มันแก้โจทย์ที่ว่าจะทำยังไงให้คนซื้อง่าย ๆ และซื้อเป็นของฝากได้

อย่างไรก็ตาม ใครอยากจะลองทำก็ไม่ใช่เรื่องยาก เพียงแค่มีอุปกรณ์ช่างไม้ โดยเฉพาะเครื่องกลึง และพอมีฝีมือในทางช่าง รวมไปถึงมีไม้ที่มีคุณสมบัติเบา เนื้อไม้ไม่แน่นมาก ก็สามารถทำได้


วัสดุในการทำ “ตุ๊กตาไม้ล้มลุก” หลัก ๆ ประกอบด้วย
1.ไม้สนที่กลึงเป็นรูปทรงแล้ว, 2.เส้นเอ็น (ที่ใช้ในการตกปลา), 3.สปริง, 4.ด้ายสี, 5.ไหมพรมสีต่าง ๆ, 6.สีสำหรับเพนท์, 7.แล็คเกอร์สำหรับเคลือบ

วิธีทำตุ๊กตาล้มลุก เริ่มจาก ร้อยรูปทรงไม้ที่ต้องการให้เป็นรูปสัตว์ต่าง ๆ โดยร้อยเข้าไปในเส้นเอ็นให้เข้ารูป, นำเอ็นที่ร้อยเป็นรูปสัตว์มาเชื่อมกับฐานที่วางตัวสัตว์โดยผูกกับสปริงข้างใน ฐานด้านล่าง, ลงสีเพนท์ ตกแต่ง ให้สวยงามตามใจชอบ, เคลือบด้วยแล็คเกอร์อีกครั้ง แล้วตกแต่งด้วยไหมพรมและด้ายสีเพื่อความสวยงาม

วัสดุในการทำ “ตุ๊กตาไม้โยโย่” หลัก ๆ ประกอบด้วย 1.ไม้สนที่กลึงเป็นรูปทรงแล้ว, 2.เชือกป่าน เชือกผ้า เชือกถัก, 3.ใบพัดตกแต่ง, 4.กาว, 5.ลวดสปริง, 6.สีสำหรับเพนท์, 7.แล็คเกอร์สำหรับเคลือบ

วิธีทำตุ๊กตาไม้โยโย่ เริ่มจาก นำท่อนไม้สนมากลึงให้เป็นรูปทรงต่าง ๆ (ทรงกลม ทรงรี ทรงเหลี่ยม), ไม้สนที่กลึงได้นั้นจะเป็นชิ้นส่วนของหัว ลำตัว มือ รองเท้า, เจาะรูที่ลำตัวสองด้าน ๆ ละ 2 รู เพื่ออัดกาว สอดเชือก ทำเป็นแขนและขา, นำชิ้นส่วนต่าง ๆ มาประกอบโดยทากาวเข้ารูปร่าง, เพนท์สีตามต้องการ, ทาแล็คเกอร์ทับเพื่อความเงางาม, เจาะรูที่หัวเพื่อร้อยสปริงให้ยืดหยุ่น และแขวนได้

ฉัตรธิดาอธิบายเพิ่มเติมว่า วิธีทำเริ่มจากการกลึงไม้ให้เป็นรูปทรงกลม ทรงรี แล้วนำชิ้นส่วนมาต่อกัน จากนั้นจะเจาะรูเพื่อสอดเชือกให้ดูเป็น แขนขา ซึ่งที่มีวัสดุเชือกเพิ่มขึ้นมาก็เพราะทำให้ตุ๊กตาดูอ่อนช้อยมากขึ้น ดูมีชีวิตชีวาขึ้น และมีสปริงแขวนให้ดูยืดหยุ่น โดยชิ้นส่วนต่อตัวหนึ่งก็จะมีไม้กลึง 3-5 ชิ้น คือส่วนเท้า มือ หัว ตัว คอ และเจาะรูทำสลักในการเชื่อมต่อกัน แล้วใช้กาวติด

“เราจะเน้นหนักไปที่เรื่องของการเพนท์ การลงสี สีนั้นจะใช้เป็นสีน้ำทาไม้ธรรมดาทั่วไป อุปกรณ์ก็จะหาได้ง่ายไม่ยุ่งยาก แต่จะมีรายละเอียดค่อนข้างเยอะ”

สำหรับ “ตุ๊กตาโยโย่” นั้น เป็นแบบใหม่ ทำขายเพราะสามารถสร้าง รอยยิ้มและเสียงหัวเราะได้เมื่อใครต่อใครพบเห็น ดูตลก น่ารักดี มันดูอิสระ เหมือนปลดปล่อย

ส่วน “ตุ๊กตาล้มลุก” จะมีเอ็นที่ใช้ตกปลา มาร้อยเป็นรูปร่างได้ และมีสปริงติดอยู่ที่ฐานข้างใต้ พอกดแล้วตุ๊กตามันก็จะล้มลง พอปล่อยสปริงด้านล่างก็จะยืดตรงตั้งขึ้นเหมือนเดิม

ตุ๊กตาไม้ล้มลุก และตุ๊กตาไม้โยโย่ มีประโยชน์ใช้สอยมากกว่าแค่ของเล่น ราคาก็ไม่แพงมาก เหมาะที่จะเป็นของฝาก ของขวัญ ของที่ระลึก ในเทศกาล หรือให้ในโอกาสพิเศษต่าง ๆ

ทุนเบื้องต้นในการทำขาย ก็ตั้งแต่ประมาณ 10,000 บาทขึ้นไป ขึ้นอยู่กับขนาดกิจการ ขณะที่ราคาขายอยู่ที่ตัวละ 40 บาทขึ้นไป โดย 40 บาทเป็นราคาขายส่ง ต้นทุนวัสดุจะตกประมาณ 70% ของราคา

ใครสนใจจะติดต่อ ฉัตรธิดา เพียรดี ก็ติดต่อได้ที่ 72/72 หมู่ 1 หมู่บ้านมณีรินทร์ ถนน 345 ต.บางคูวัด อ.เมือง จ.ปทุมธานี 10200 โทร. 08-6704-3335 ส่วนใครที่พิจารณาจากข้อมูลนี้แล้วได้ไอเดีย อยากจะลองทำตุ๊กตาไม้แปลก ๆ ขายบ้าง ก่อนอื่นก็คงต้องฝึกฝนฝีมือให้ดีเสียก่อน.

ขอบคุณข้อมูลจาก หนังสือพิมพ์เดลินิวส์
พลอยไพลิน บินชัย : รายงาน / จเร รัตนราตรี : ภาพ

‘เพ็ทช็อปเคลื่อนที่’ ธุรกิจเสริม มะหมามาแรง


ธุรกิจเกี่ยวกับสัตว์เลี้ยง ปัจจุบันมีสินค้าหลากหลายที่ผลิตออกมาเพื่อตอบสนองกลุ่มคนรักสัตว์ แต่กระนั้นร้านจำหน่ายสินค้าประเภทนี้รายใหม่ ๆ ก็ยังมีช่องทางที่จะแจ้งเกิดได้ แม้ว่าจะขาดเงินทุนจำนวนมากในการเปิดร้านในลักษณะถาวร อย่างธุรกิจ “ร้านเพ็ทช็อปเคลื่อนที่” ที่ “ช่องทางทำกิน”

สดชื่น ปิตานุสร-อารัน บุญญวรรณ เจ้าของร้านเพ็ทช็อปเคลื่อนที่ชื่อ “ร้านตูบแต่งตัว” เล่าให้ฟังว่า ยึดอาชีพขายสินค้าเกี่ยวกับสุนัขมาได้ประมาณ 4 ปีแล้ว โดยย้ายทำเลไปเรื่อย ๆ เช่น วันจันทร์ขายประจำที่หลังสวนซอย 5 วันอังคารกับวันพฤหัสบดีขายที่ตึกทานตะวัน ถนนวิภาวดีรังสิต วันพุธขายที่กระทรวงสาธารณสุข วันศุกร์ขายที่ซอยอารีย์ โดยเหตุผลที่ไม่เปิดร้านถาวร เพราะคิดว่าการเปิดร้านอยู่กับที่ต้องรอลูกค้ามาหา แต่การออกไปหาลูกค้าเองน่าจะดีกว่า สามารถเข้าถึงลูกค้าได้ง่ายกว่า ซึ่งสินค้าในร้านก็จะมีให้เลือกเกือบครบ ขาดแต่ในเรื่องการให้บริการตัดขนและอาบน้ำสุนัขเท่านั้นที่ร้านลักษณะนี้ไม่สะดวกที่จะทำ

ข้อดีของการเปิดร้านแบบเคลื่อนที่ นอกจากเข้าหาลูกค้าได้ง่าย ได้กลุ่มลูกค้าที่เป็นพนักงานประจำออฟฟิศที่ไม่ค่อยมีเวลาเดินหาซื้อสินค้า ยังประหยัดต้นทุนค่าใช้จ่ายเรื่องการตกแต่งร้าน ค่าเช่าร้าน ลงได้มาก

“สินค้าในร้านมีเกือบทุกอย่างเท่าที่ลูกค้าต้องการ ทั้งอาหาร ขนมขบเคี้ยว ซึ่งเป็นแบรนด์เราเอง ชื่อ ลัคกี้ และยังมีพวกฟลูออไรด์แท่ง ปลอกคอ สายจูง ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาด ภาชนะใส่อาหารสุนัข หวีแปรงขน รวมถึงยากำจัดเห็บหมัด ยาถ่ายพยาธิ นอกจากนั้นก็เป็นพวกแฟชั่นน้องหมาซึ่งเปลี่ยนไปตามฤดูกาล เช่น หน้าหนาว เสื้อผ้าจะเยอะหน่อย เพราะเจ้าของมีโอกาสแต่งตัวให้น้องหมาได้มาก”

สำหรับอาหารสุนัข เจ้าของร้านนี้แนะนำว่า ไม่ควรสต๊อกไว้ในปริมาณเยอะ ๆ เนื่องจากบางชนิดมีส่วนประกอบจำพวกถั่วและข้าวโพดมาก หากเก็บไว้นานจะมีกลิ่นเหม็นหืนหรืออาจเกิดเชื้อราได้ จึงควรสต๊อกให้พอแค่การจำหน่ายในแต่ละสัปดาห์ เพราะถึงอย่างไรก็ต้องเจอลูกค้าในแต่ละรอบสัปดาห์อยู่ดี

นอกจากนั้นยังมีเคล็ดลับมัดใจลูกค้าสำหรับร้านที่ไม่มีหน้าร้าน คือความรู้เกี่ยวกับการเลี้ยงสุนัข เพราะการให้คำปรึกษาถือเป็นกลยุทธ์สำคัญที่ทำให้ลูกค้าตัดสินใจเดินเข้าร้านได้ง่ายขึ้น

“การทำธุรกิจประเภทนี้ต้องมีความใส่ใจลูกค้า ต้องดูว่าลูกค้าต้องการอะไร เช่น ลูกค้ามีปัญหาอะไร ก็สามารถปรึกษาได้ แต่ถ้าเรื่องไหนที่เราไม่รู้ก็จะบอกให้รอหน่อย ก็จะไปถามคุณหมอที่รู้จักกัน แล้วเราก็เก็บรายละเอียดมาบอกลูกค้า ตรงนี้เป็นกลยุทธ์หนึ่ง”

การเลือกทำเลก็สำคัญไม่แพ้กัน สดชื่นบอกว่าที่ร้านจะดูในเรื่องของตลาดและกลุ่มผู้เลี้ยง เพราะสิ่งเหล่านี้จะทำให้ทราบว่ามีโอกาสมากน้อยแค่ไหน อย่างที่ร้านเน้นกลุ่มพนักงานประจำ พนักงานออฟฟิศ ที่ไม่ค่อยมีเวลา ก็จะเลือกทำเลที่ใกล้กับออฟฟิศใหญ่ ๆ หรือย่านธุรกิจเป็น ซึ่งลูกค้ากลุ่มนี้กำลังซื้อสูง แต่ไม่ค่อยมีเวลา!

“ในหนึ่งสัปดาห์ก็จะเปลี่ยนไปขายหลาย ๆ ที่ แต่ส่วนใหญ่จะเป็นจุดประจำ เพราะมีลูกค้าประจำที่เป็นฐานลูกค้าเดิมของเราอยู่ก่อนแล้ว บางทีหากลูกค้าต้องการซื้อของเพิ่มเขาก็จะโทรฯมาถาม และตามมาซื้อสินค้าจากอีกจุดหนึ่ง ในกรณีที่ต้องการสินค้าด่วน” เป็นกลยุทธ์ของร้านที่เจ้าของร้านรายนี้บอกเพิ่มเติม

ทั้งนี้ ทุนเบื้องต้นสำหรับการเปิดร้านแบบนี้ ใช้งบก้อนแรกไม่เกิน 50,000 บาท ส่วนใหญ่เป็นค่าสินค้าครั้งแรก ขณะที่อุปกรณ์จำเป็นนั้นหลัก ๆ มีเพียงไม่กี่ชิ้น อาทิ ชั้นวางของ (เน้นแบบถอดประกอบได้ เคลื่อนย้ายสะดวก), กระจาดใส่สินค้า, โต๊ะหรือแผงวางสินค้า เป็นต้น โดยที่ทุนหมุนเวียนของร้านนี้อยู่ที่ประมาณ 20,000 บาทต่อสัปดาห์ ซึ่งอาจจะมากหรือน้อยกว่านี้ขึ้นอยู่กับยอดขาย

รายได้ที่เป็นกำไรหลังหักทุน จะอยู่ที่ประมาณ 30% ของยอดขายทั้งหมด

“สินค้ากลุ่มสุนัขสามารถ ขายได้เรื่อย ๆ เพระว่าคนที่เลี้ยงกลุ่มนี้จะมองสุนัขที่เลี้ยงเป็นเหมือนเพื่อน ทำให้พยายามเลือกสิ่งที่ดีที่สุดให้ อย่างอาหารสุนัขก็ขายได้ตลอด ที่สำคัญตอนนี้มองว่าตลาดคนเลี้ยงโตขึ้น แต่จำนวนร้านในตลาดยังไม่พอกับความต้องการ การเปิดร้านเพ็ทช็อปเคลื่อนที่แบบนี้จึงถือว่ามีโอกาส มีช่องว่างที่ดีอยู่ เหมาะกับคนที่มีทุนไม่สูงพอที่จะเปิดเป็นร้านถาวร” เจ้าของร้านกล่าวทิ้งท้าย

ใครสนใจจะอุดหนุนสินค้าของร้านตูบแต่งตัว ก็สามารถไปได้ตามจุดขายที่บอกไว้ข้างต้น หรือต้องการติดต่อ สดชื่น ปิตานุสร-อารัน บุญญวรรณ ก็โทร. 08-9512-8263 ทั้งนี้ สำหรับใครที่สนใจทำธุรกิจกับมะหมา แต่มีทุนน้อย บางที “เพ็ทช็อปเคลื่อนที่” แบบร้านนี้ อาจจะเป็นทางเลือกที่ดีก็ได้.

ขอบคุณข้อมูลจาก หนังสือพิมพ์เดลินิวส์

ศิริโรจน์ ศิริแพทย์/ภัทราภรณ์ พลายเถื่อน : รายงาน

อาชีพเสริม ‘เลี้ยงหมูขุน’ รายได้ดี

ปัจจุบันการเลี้ยงหมูหรือสุกรได้มีการพัฒนามากขึ้น มีการเลี้ยงในโรงเรือนแบบปิด การให้อาหารก็เป็นแบบอัตโนมัติ ทำให้เกษตรกรเลี้ยงและดูแลสุกรง่ายขึ้น โดยทางบริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือซีพีเอฟ ก็มีโครงการส่งเสริมอาชีพเกษตรกรรายย่อย มีการถ่ายทอดความรู้ในการ “เลี้ยงหมูขุน” การจัดการ จัดสร้างโรงเรือนระบบปิด ติดเครื่องให้อาหารอัตโนมัติให้กับเกษตรกรที่เข้าร่วมโครงการ อย่างเช่น ราย “สุวารีฟาร์ม” ฟาร์มเลี้ยงหมูขุนที่มี สุวารี เอี่ยมรำ ดูแลฟาร์มเพียงคนเดียว ซึ่งทีม “ช่องทางทำกิน” ได้ไปสัมผัสมา


ช่วงเกิดวิกฤติเศรษฐกิจ มนุษย์เงินเดือน คนทำงานบริษัท หรือคนจากพื้นที่เกษตรที่เข้ามาทำงานในเมือง อาจต้องบ่ายหน้าออกสู่จังหวัด ต่าง ๆ แล้วมองหาอาชีพทางการเกษตรทำกันแทนอาชีพเดิม ซึ่งในยุคนี้ด้วยเทคโนโลยีสมัยใหม่อาชีพทางการเกษตรก็ใช่ว่าต้องขะมุกขะมอมเสมอไป ไม่เว้นแม้แต่อาชีพ “เลี้ยงหมู”

สุวารี เอี่ยมรำ เกษตรกรรายย่อยผู้เลี้ยงหมูขุน ที่เข้าร่วมโครงการส่งเสริมอาชีพฯ มา 3 ปี เล่าว่า ก่อนที่จะมาทำอาชีพเกษตรกรเลี้ยงหมูนั้น เดิมไปทำงานเป็นพนักงานบริษัทอยู่ที่ประเทศญี่ปุ่นกับสามี หลังจากที่ตั้งท้องก็ตัดสินใจเดินทางกลับมาตั้งหลักที่เมืองไทย พอกลับมาอยู่บ้านก็พยายามมองหาอาชีพที่เป็นธุรกิจของตัวเองทำ จนได้ไปเห็นเพื่อนที่เป็นเกษตรกรเลี้ยงหมูแล้วมีรายได้ดี จึงคิดว่าน่าจะลองเลี้ยงดู เพราะคิดว่าน่าจะสร้างรายได้ที่ดี อีกทั้งก็มีความชอบในอาชีพเกษตรกรเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว จึงตัดสินใจเป็นเกษตรกรเลี้ยงหมู

หลังจากตัดสินใจแล้วว่าจะเลี้ยงหมู จึงไปปรึกษาและศึกษาการทำฟาร์มกับทางซีพีเอฟเพื่อขอเข้าร่วมโครงการส่งเสริมเกษตรกรรายย่อย และหลังจากที่ผ่านคุณสมบัติตามที่โครงการกำหนดไว้ ก็ตกลงทำทันที

“ที่เลือกเข้าโครงการนี้ก็เพราะเห็นว่าเป็นผู้นำในอุตสาหกรรมเกษตรและอาหาร มีเทคโนโลยีที่ทันสมัย โดยเฉพาะด้านการเลี้ยงสุกร มีการดูแล ส่งสัตวบาลเข้ามาดูแลตลอด ให้ความรู้ในเรื่องการเลี้ยง การจัดการ”

สำหรับเกษตรกรที่สามารถเข้าร่วมโครงการนี้ได้ จะต้องมีคุณสมบัติตามเกณฑ์ดังนี้คือ มีที่ดิน 5 ไร่ และพื้นที่จะต้องผ่านเกณฑ์การตรวจสอบว่าเหมาะสมด้วย โดยพื้นที่เลี้ยงหมูนั้นชุมชนโดยรอบต้องยอมรับ มีแหล่งน้ำเพียงพอ ซึ่งพื้นที่ 5 ไร่ต้องมีเงินทุน 2,500,000 บาท ที่สำคัญคือจะต้องมีใจรักในอาชีพนี้ด้วย

เจ้าของฟาร์มเล่าต่อว่า เงินทุน 2,500,000 บาท จะใช้สร้างโรงเรือนระบบปิด ปรับอากาศด้วยการระเหยของน้ำ หรืออีแวป (Evaporative cooling system) ขนาด 9 x 107 x 2 เมตร พื้นทำเป็นคอนกรีต ผนังคอนกรีต แบ่งออกเป็นคอก จำนวน 11 คอก จุหมูได้คอกละ 50 ตัว สามารถเลี้ยงหมูได้ทั้งหมด 550 ตัว ต่อ 1 รุ่น ส่วนระบบการให้อาหารจะติดไซโล หรือเครื่องจ่ายอาหารอัตโนมัติ ขนาด 7.5 ตัน 1 ลูก

เมื่อทำการสร้างโรงเรือนเรียบร้อย ก็เริ่มนำเอาลูกหมูมาเข้า โดยลูกหมูที่เอาเข้ามาจะมีอายุ 18 วัน เป็นลูกหมูที่เพิ่งหย่านม ลูกหมูที่นำเข้ามาจะต้องใช้ไฟอบเพื่อให้ความอบอุ่น ประมาณ 1 เดือน

การให้อาหารก็ให้ตามปกติ เช้า-เย็น ปริมาณที่ให้ก็ขึ้นอยู่กับขนาดของหมู ถ้าหมูเล็กก็จะให้อาหารวันละประมาณ 500 กิโลกรัมต่อรุ่น หมูใหญ่ขึ้นก็เพิ่มปริมาณอาหารมากขึ้นเรื่อย ๆ

ส่วนการดูแลทำความสะอาด ภายในโรงเรือนจะต้องเน้นเรื่องความสะอาดเป็นอย่างมาก ช่วงหมูยังเล็กการทำความสะอาดก็ยังไม่หนัก แต่เมื่อหมูเริ่มโตต้องทำเพิ่มเป็นวันละ 3 ครั้ง ต้องกวาดมูลทิ้ง เปลี่ยนน้ำ ดูแลอาหารวันละ 2 เวลา เช้า-เย็น และต้องควบคุมอุณหภูมิภายในโรงเรือน เฉลี่ยที่ 28 องศาฯ

ที่สำคัญไม่ควรอาบน้ำให้หมู เพราะจะทำให้สุขภาพหมูแย่ และสูญเสียภูมิต้านทาน

สุวารีบอกต่อไปว่า หมู 1 รุ่นจะใช้เวลาเลี้ยงประมาณ 24 สัปดาห์ หมูจะได้น้ำหนักตามที่ต้องการ ซึ่งทางซีพีเอฟจะส่งพนักงานมาจับ โดยใน 1 รุ่น หมู 550 ตัว ถ้าดูแลเลี้ยงดูดี หลังหักค่าไฟฟ้าเดือนละ 4,000 บาท และค่าแรงอีกเดือนละประมาณ 5,000 บาท ก็จะเหลือรายได้ประมาณ 170,000 บาทต่อรุ่น

กับค่าอาหารเลี้ยงหมูนั้น ถ้าอยู่ในโครงการนี้จะไม่เสีย ทางโครงการจะจัดการให้ โดยรายได้ของเกษตรกรจะมาจากน้ำหนักหมูที่เพิ่มขึ้นจากการเลี้ยงดู ขณะที่ค่าไฟนั้นถ้าในฟาร์มมีระบบผลิตไบโอแก๊ส ก็อยู่ที่เดือนละประมาณ 4,000 บาท แต่ถ้าไม่มีก็จะตกประมาณเดือนละ 12,000 บาท

ใครที่สนใจขอเยี่ยมชมฟาร์มเลี้ยงหมูขุน สุวารีฟาร์ม ก็ลองติดต่อสอบถามกับสุวารีที่ โทร. 08-4825-9815 ส่วนถ้าใครต้องการสอบถามเพิ่มเติมเรื่องการ “เลี้ยงหมูขุน” ด้วยการใช้เทคโนโลยี-อุปกรณ์ทันสมัยเข้ามาช่วยเลี้ยง ตามโครงการส่งเสริมอาชีพเกษตรกรรายย่อยของซีพีเอฟ


ก็ติดต่อสอบถามไปที่ โทร. 0-2675-9909.

คู่มือลงทุน...เลี้ยงหมูขุน

ทุนเบื้องต้น ขึ้นอยู่กับขนาด-ปริมาณการเลี้ยง
ทุนหมุนเวียน ประมาณ 50,000 บาท/550 ตัว
รายได้ ประมาณ 170,000 บาท/550 ตัว
แรงงาน 1-2 คนขึ้นไป
ตลาด เข้าโครงการมีบริษัทรับซื้อถึงฟาร์ม
จุดน่าสนใจ เข้าโครงการจะดูแลง่าย-รายได้ดี

ที่มา ...บดินทร์ ศักดาเยี่ยงยงค์ หนังสือพิมพ์ เดลินิวส์

บทความที่ได้รับความนิยม

บทความ ใหม่ล่าสุด

Superman (It's Not Easy)
















...............................................................................
I can't stand to fly
I'm not that naive
I'm just out to find
The better part of me

I'm more than a bird:I'm more than a plane
More than some pretty face beside a train
It's not easy to be me

Wish that I could cry
Fall upon my knees
Find a way to lie
About a home I'll never see

It may sound absurd:but don't be naive
Even Heroes have the right to bleed
I may be disturbed:but won't you conceed
Even Heroes have the right to dream
It's not easy to be me

Up, up and away:away from me
It's all right:You can all sleep sound tonight
I'm not crazy:or anything:

I can't stand to fly
I'm not that naive
Men weren't meant to ride
With clouds between their knees

I'm only a man in a silly red sheet
Digging for kryptonite on this one way street
Only a man in a funny red sheet
Looking for special things inside of me

It's not easy to be me.


ฉันไม่ได้อยากจะเหาะไปเหาะมาทุกวัน
ไม่ได้ซื่อบื้อขนาดนั้น
ฉันก็แค่อยู่เพื่อค้นหา
ตัวตนที่ดีกว่าที่เป็นอยู่

ฉันเป็นมากกว่านก ฉันเร็วกว่าเครื่องบิน
เป็นมากกว่าหน้าตาหล่อๆ ที่คอยบินตามหยุดรถไฟ
ไม่ง่ายเลยนะที่จะเป็นตัวฉันเอง

ฉันหวังจะได้ร้องไห้เสียบ้าง
ซบหน้าลงกับท่อนแขน
เฝ้าแต่โกหกแก้ตัว
ถึงเรื่องบ้านเกิด ที่ไม่เคยแม้ได้เห็น

อาจจะฟังดูเหลวไหล แต่โปรดอย่าหัวเราะ
เพราะแม้จะเป็นซูเปอร์แมน แต่ก็เลือดไหลได้เหมือนกัน
ฉันอาจจะพูดอะไรไม่ดีไปบ้าง แต่โปรดอย่าได้ถือสา
กระทั่งเป็นซูเปอร์แมนก็มีความฝันกับเขาได้เหมือนกัน
ไม่ง่ายเลยนะที่จะเป็นตัวฉันเอง

บินบินไปบนฟ้า หนีไปจากตัวเอง
ไม่เป็นไรใช่ไหม? คุณๆก็ยังคงหลับฝันดีได้
ฉันไม่ใช่คนบ้านะ

วันๆเอาแต่เหาะไปมา
ฉันไม่ได้ปัญญาอ่อนนะ
ผู้ชายน่ะไม่ได้เกิดมา
เพื่อบินเล่นบนก้อนเมฆหรอกนะ

ฉันก็แค่ผู้ชายธรรมดา ในผ้าคลุมสีแดงตลกๆ
ขุดหาคริปโตไนท์บนถนนเส้นเดิม
ก็แค่ผู้ชายธรรมดาในชุดสีแดงงี่เง่าๆ
มองหาบางสิ่งพิเศษให้กับตัวเอง

ไม่ง่ายเลยที่จะเป็นซูเปอร์แมน

The Key (เดอะ คีย์) หนังสือจากสำนักพิมพ์ ต้นไม้

เรียกได้ว่าเป็นหนังสือภาคต่อของหนังสือ เดอะซีเคร็ต ถ้าคุณเป็นหนอนหนังสือตัวจริง ผมว่าคุณคงจะรู้จักหนังสือเหล่านี้ดี ครั้งแรกที่ผมอ่านหนังสือ เดอะซีเคร็ตนั้น ผมยังไม่เข้าใจถึงวิธีการทำงานของ กฎของแรงดึงดูดที่ว่า ใครมีความคิดเช่นไรก็จะเป็นคนเช่นนั้น ไม่ว่าเราประสบความสำเร็จหรือกำลังล้มเหลวในชีวิต ทุกสิ่งเกิดขึ้นจากความคิดของเราเอง ผมคงไม่สามารถบรรณยาย ประโยชน์ของหนังสือเล่มนี้ออกมาได้หมดสิ้น แต่ด้วยความปราถนาดีจากผมจริงๆที่ต้องการแบ่งปันสิ่งดีๆให้กับผุ้อื่นบ้าง

ปฏิญญาณของผู้มองแง่ดี

สัญญากับตัวเองว่า

จะเข้มแข็งเสียจนไม่มีสิ่งใดสามารถรบกวนความสงบสุขทางใจของคุณได้
จะพูดถึง สุขภาพดี ความสุข และความรุ่งเรือง แก่ทุคคนที่คุณพบ
จะทำให้เพื่อนทั้งหมดของคุรรู้สึกว่ามีบางสิ่งดีๆในตัวพวกเขา
จะมองที่ด้านสว่างของทุกสิ่งและทำให้การมองแง่ดีของคุณกลายเป็นความจริง
จะคิดแต่เรื่องที่ดีที่สุด ทำงานให้แก่คนดี ให้แก่สิ่งดีที่สุด และคาดหวังแต่สิ่งที่ดีที่สุด
จะมีความกระตือรือร้นเกี่ยวกับความสำเร็จของผู้อื่นมากเท่ากับของคุณเอง
จะลืมความผิดพลาดในอดีตและเพียรพยายามไปสู่การบรรลุความสำเร็จของอนาคตที่ยิ่งใหญ่ขึ้น
จะดำรงใบหน้าอันร่าเริงตลอดเวลาและทำให้สิ่งมีชีวิตทุกชีวิตที่คุณพบยิ้ม
จะให้เวลาแก่การปรับปรุงพัฒนาตัวเองมากเสียจนกระทั่งคุณไม่มีเวลาที่จะวิจารณ์คนอื่นๆ
จะเป็นคนที่ใหญ่กว่าความกังวล สง่างามกว่าความโกรธ แข็งแกร่งกว่าความกลัวและมีความสุขเกินกว่าที่จะอนุญาตให้มีความยุ่งยาก
จะคิดแก่ตัวเองและอ้างสิทธิ์ข้อเท็จจริงแก่โลก ไม่ใช่ด้วยคำพูดดังแต่ด้วยการกระทำที่ยิ่งใหญ่
จะใช้ชีวิตโดยศัทธาว่าโลกทั้งใบอยู่ข้างคุณตราบนานเท่าที่คุณยังเที่ยงตรง ต่อสิ่งที่ดีที่สุดที่อยู่ในตัวคุณ

หมายเหตุ จาก ปฏิญญาของผู้มองแง่ดี ถูกตีพิมพ์ครั้งแรกปี 1912 หนังสือของ คริสเตียน ดี ลาร์สัน ชื่อ Your Forces and How to Use Them ฉบับย่อของมันใช้กันทุกวันนี้ โดย Optimist Interna tional ซึ่งเป็นกลุ่มคนทั่วโลกที่มุ่งไปที่การทำให้ความแตกต่าง ที่เป็นบวกเกิดขึ้นในโลก

**คัดมาจากหนังสือ เดอะคีย์ จากสำนักพิมพ์ ต้นไม้